SEM (Search Engine Marketing) คืออะไร เริ่มต้นทำโฆษณาออนไลน์สำหรับมือใหม่
ลองนึกภาพตามว่า เว็บไซต์ของคุณ คือ ร้านค้าในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ถ้าร้านของคุณอยู่ลึกเข้าไปในห้าง ลูกค้าจะเดินมาเจอร้านของคุณหรือเปล่า ? แน่นอนว่าคงเป็นส่วนน้อยมาก เมื่อเทียบกับร้านที่อยู่หน้าทางเข้าหรืออยู่ใกล้กับบันไดเลื่อน ที่ลูกค้าจะเห็นร้านของคุณเป็นอันดับแรก แถมยังมีโอกาสเข้ามาซื้อสินค้าของคุณมากกว่าร้านอื่นๆ อีกด้วย
SEM ก็เปรียบเสมือนการนำร้านค้าออนไลน์ของคุณมาตั้งไว้หน้าห้าง เวลาลูกค้าค้นหาสินค้าที่คุณขายใน Google หรือ Search Engine อื่นๆ ร้านของคุณก็จะโผล่มาเป็นอันดับต้นๆ ทำให้ลูกค้าเห็นร้านของคุณก่อนใคร และมีโอกาสเข้ามาซื้อสินค้าของคุณมากขึ้นนั่นเอง
วันนี้ ดิจิตอล แฟคตอรี่ จะขอมาเปิดเผยเคล็ดลับการทำ SEM (Search Engine Marketing) ให้ฟังกัน ถ้าพร้อมแล้วตามมาอ่านกันเลย !
SEM คืออะไร ?
“SEM” ย่อมาจาก “Search Engine Marketing” หรือการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหาอย่าง Google หลักการทำงานของเจ้า SEM คือ การทำให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาอันดับต้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของผลการค้นหาแบบเสียเงิน (Paid Search) ซึ่งแตกต่างจาก SEO (Search Engine Optimization) ที่เน้นการปรับปรุงเว็บไซต์ให้เป็นมิตรกับเครื่องมือค้นหาเพื่อให้ได้อันดับที่ดีขึ้นแบบฟรีๆ
SEM หรือ Search Engine Marketing มีกี่ประเภท ?
1. SEO (Search Engine Optimization)
SEO คือ การเพิ่มอันดับของเว็บไซต์ของคุณปรากฏในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาบน Google หรือ Search Engine เมื่อผู้คนค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือบริการของคุณ โดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณา
2. PPC (Pay Per Click)
PPC หรือ Pay Per Click คือ รูปแบบหนึ่งของการโฆษณาออนไลน์ โดยซื้อพื้นที่โฆษณาในส่วนของ “Paid Search” หรือ “Search Advertising” ที่คุณจ่ายเงินให้กับผู้ให้บริการ เช่น Google Ads เมื่อมีผู้คลิกเข้ามาที่โฆษณาของคุณบนหน้าผลการค้นหา (Search Result Page) ซึ่งแตกต่างจาก SEO ที่เน้นการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ติดอันดับค้นหาแบบธรรมชาติ
การทำ SEM บน Google แบ่งออกได้เป็นกี่รูปแบบ ?
โฆษณาแบบ SEM หรือ Search Engine Marketing มีหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบก็มีจุดเด่นและเหมาะกับการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ฉะนั้น จึงควรทำความเข้าใจกับประเภทของ SEM อย่างละเอียด เพื่อให้คุณสามารถเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณได้มากที่สุด
1. Google Search Ads
Google Search Ads คือ โฆษณาแบบข้อความที่ปรากฏเหนือผลการค้นหาแบบธรรมดาหรืออยู่ด้านข้าง ซึ่งจุดเด่นของการโฆษณาแบบนี้ คือ สามารถเข้าถึงลูกค้าที่กำลังมองหาสินค้าหรือบริการของคุณอยู่ ณ ขณะนั้น และยังเป็นโฆษณาที่ตั้งงบประมาณรายวันหรือรายเดือนได้ตามแผนกลยุทธ์ที่คุณวางไว้ แถมยังสามารถติดตามผลลัพธ์ได้อย่างละเอียด เช่น จำนวนคลิก อัตราการคลิก เป็นต้น
2. Google Shopping Ads
Google Shopping Ads คือ โฆษณาในรูปแบบของ Shopping Card ที่แสดงรายละเอียดทั้งราคา รูปภาพสินค้า ชื่อร้านค้า และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจุดเด่นของการโฆษณาแบบนี้ คือ ดึงดูดสายตาเพราะรูปภาพของผลิตภัณฑ์ช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพสินค้าได้ชัดเจน แถมลูกค้ายังสามารถเปรียบเทียบราคาและข้อมูลผลิตภัณฑ์จากร้านค้าต่างๆ ได้ง่ายอีกด้วย
3. Google Display Network (GDN)
Google Display Network (GDN) คือ โฆษณาออนไลน์ที่ปรากฏบนเว็บไซต์ต่างๆ ที่เป็นพันธมิตรกับ Google หรือเครือข่ายโฆษณาอื่นๆ ในรูปแบบของรูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว หรือวิดีโอ ซึ่งจุดเด่นของการโฆษณาแบบนี้ คือ ช่วยสร้างการรับรู้และจดจำแบรนด์ของคุณ พร้อมเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น
4. Google Video Ads
Google Video Ads คือ โฆษณาแบบวิดีโอที่ปรากฏบนแพลตฟอร์มวิดีโอ เช่น YouTube โดยสามารถเป็นได้ทั้งวิดีโอยาวหรือสั้น ขึ้นอยู่กับรูปแบบของโฆษณา ซึ่งจุดเด่นของการโฆษณาแบบนี้ คือ สามารถถ่ายทอดเรื่องราวและสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้ดี และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย
5. Discovery Campaign
Discovery Campaign คือ รูปแบบโฆษณาบนฟีดของ Google ที่ออกแบบมาเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของคุณอย่างตรงจุด โดยจะแสดงผลในตำแหน่งที่ผู้ใช้ใช้งาน Google อยู่เป็นประจำ เช่น หน้า Discover ใน Google App, หน้า Home ของ YouTube และ แท็บ Promotion และ Social บน Gmail
6. Performance Max
Google Performance Max คือ รูปแบบโฆษณา Google ล่าสุด ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำ Search Engine Marketing อย่างสูงสุด ด้วยระบบอัตโนมัติที่ ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านหลากหลายช่องทางของ Google ไม่ว่าจะเป็น Google Search, Google Display Network, YouTube, Google Discover และ Google Maps เพียงแค่สร้างแคมเปญเดียว ก็สามารถเพิ่มโอกาสในการสร้าง Conversion ได้มากขึ้นกว่าเดิม
SEM วัดผลยังไง ?
การวัดผล SEM (Search Engine Marketing) เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้คุณทราบว่าแคมเปญโฆษณาของคุณประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด และช่วยให้คุณปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งเครื่องมือวัดผล SEM มีดังนี้ Google Ads เป็นเครื่องมือหลักที่ใช้ในการจัดการและวัดผลแคมเปญโฆษณา, Google Analytics เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้งานบนเว็บไซต์ของคุณ ทั้งนี้อาจมีเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ ร่วมด้วย เช่น SEMrush, Ahrefs, Moz เป็นต้น
ตัวชี้วัดที่สำคัญในการวัดผล SEM
จำนวนคลิก (Clicks) คือ จำนวนครั้งที่ผู้ใช้คลิกเข้ามาที่โฆษณาของคุณ
Click-Through Rate หรือ CTR คือ เปอร์เซ็นต์ของจำนวนผู้ที่เห็นโฆษณาของคุณและตัดสินใจคลิกเข้ามา
Cost Per Click หรือ CPC คือ จำนวนเงินที่คุณต้องจ่ายสำหรับแต่ละคลิก
ค่าใช้จ่ายทั้งหมด คือ จำนวนเงินทั้งหมดที่คุณใช้ไปกับแคมเปญโฆษณา
Impressions คือ จำนวนครั้งที่โฆษณาของคุณปรากฏให้ผู้ใช้เห็น
Conversion Rate คือ เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่คลิกเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณและทำตามเป้าหมายที่คุณตั้งไว้ เช่น การซื้อสินค้า การกรอกแบบฟอร์ม หรือการโทรติดต่อ
Cost Per Conversion คือ จำนวนเงินที่คุณต้องจ่ายเพื่อให้ได้ Conversion 1 ครั้ง
ตำแหน่งเฉลี่ยของโฆษณา คือ ตำแหน่งเฉลี่ยที่โฆษณาของคุณปรากฏในผลการค้นหา
คุณภาพคะแนน (Quality Score) คือ คะแนนที่ Google ให้กับโฆษณาของคุณ ซึ่งบ่งบอกถึงความเกี่ยวข้องของโฆษณาของคุณกับคำค้นหาและประสบการณ์ของผู้ใช้
ข้อดีในการทำ Search Engine Marketing คืออะไร ?
SEM หรือการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหา เป็นกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่ทรงพลังและมีประสิทธิภาพอย่างมากในการดึงดูดลูกค้าเป้าหมายและเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ ซึ่งข้อดีหลักๆ ของการทำ SEM มีดังนี้
1. เข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้ตรงจุด
คุณสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างละเอียด เช่น อายุ เพศ สถานที่อยู่ ความสนใจ หรือพฤติกรรมการค้นหา อีกทั้งคุณยังสามารถกำหนดเวลาที่ต้องการแสดงโฆษณาให้ตรงกับช่วงเวลาที่ลูกค้าของคุณมีแนวโน้มจะทำการค้นหาได้ ดังนั้น โอกาสที่ลูกค้าจะคลิกเข้ามาและทำการซื้อก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
2. วัดผลได้อย่างแม่นยำ
คุณสามารถติดตามผลลัพธ์แคมเปญโฆษณาได้อย่างละเอียด เช่น จำนวนคลิก จำนวนการแสดงผล CTR หรือ Conversion Rate และเมื่อทราบผลลัพธ์คุณก็สามารถปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดของคุณได้ทันที เพื่อให้แคมเปญมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
3. ควบคุมงบประมาณ
คุณสามารถกำหนดงบประมาณที่ต้องการใช้จ่ายกับแคมเปญโฆษณาของคุณได้ โดยเลือกจ่ายเฉพาะเมื่อมีคนคลิกเข้ามาที่โฆษณาของคุณเท่านั้น พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนงบประมาณได้ตลอดเวลาตามความต้องการของธุรกิจของคุณ
4. เพิ่มการรับรู้แบรนด์
โฆษณาของคุณจะปรากฏในผลการค้นหาของ Google ทำให้ผู้ใช้เห็นผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณได้ง่ายขึ้น และเมื่อผู้ใช้เห็นโฆษณาของคุณปรากฏในผลการค้นหาบ่อยครั้ง ก็จะรู้สึกว่าธุรกิจของคุณมีความน่าเชื่อถือนั่นเอง
5. แข่งขันกับคู่แข่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การทำ SEM ช่วยให้คุณสามารถครองตำแหน่งสูงสุดในผลการค้นหาและดึงดูดลูกค้าจากคู่แข่ง อีกทั้ง คุณยังสามารถปรับปรุงโฆษณาของคุณให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว เพื่อเอาชนะคู่แข่งได้อีกด้วย
บทสรุป
สรุปแล้ว SEM เป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลังและมีความยืดหยุ่นสูง ช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้อย่างตรงจุด ทั้งยังเพิ่มยอดขายได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น หากคุณต้องการให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างยั่งยืน การทำ SEM ก็เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่คุณไม่ควรพลาด !
ทั้งนี้ หากคุณกำลังมองหาเอเจนซี่ที่มีบริการรับทำ SEM ดิจิทัล แฟคตอรี่ คือ คำตอบ ด้วยประสบการณ์ทำงานมากกว่า 8 ปี และมีประสบการณ์ดูแลลูกค้ามากกว่า 2,500 แคมเปญ รวมถึง Executive Tools เราจึงสามารถจัดสรรงบประมาณได้เกินคุ้มและตรงกลุ่มเป้าหมายของคุณที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก : Hawksem
Powered by Froala Editor
Powered by Froala Editor
Powered by Froala Editor
Powered by Froala Editor
4 เว็บไซต์จับคู่สียอดนิยม ที่เหล่านักออกแบบมืออาชีพแนะนำ !
เว็บไซต์จับคู่สี หรือ เว็บไซต์สร้างพาเลทสี ที่เหล่านักออกแบบต้องมีติดเครื่อง ค้นพบพาเลทสีใหม่ล่าสุด พร้อมเทคนิคการจับคู่สีสุดเจ๋ง ที่จะทำให้ผลงานของคุณโดดเด่นกว่าใคร !
Segmentation คืออะไร ? พิชิตใจลูกค้าอย่างไรสู่ความสำเร็จทางธุรกิจ
Segmentation คืออะไร หากคุณสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจได้อย่างชัดเจน เพื่อให้คุณยิงธนูได้ตรงเป้าตลอด กลยุทธ์นี้คือคำตอบ