
พฤติกรรมผู้บริโภค (Customer Behavior) ที่แบรนด์ยุคใหม่ต้องจับตา
เคยสงสัยไหมว่า ทำไมลูกค้าถึงเลือกซื้อสินค้าตัวนี้ ? แล้วอะไร คือ ปัจจัยที่ผลักดันให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ ? และในมุมของผู้ประกอบการ จะทำอย่างไรให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ ? คำถามเหล่านี้มีเพียงคำตอบเดียว คือ "พฤติกรรมผู้บริโภค" หรือ "Customer Behavior" นั่นเอง !
ในบทความนี้ ดิจิทัล แฟคตอรี่ จะมาเจาะลึกถึงโลกของพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันกันอย่างละเอียด เพื่อให้คุณสามารถนำความรู้เหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พฤติกรรมผู้บริโภค หรือ Customer Behavior คือ ?
Customer Behavior หรือ พฤติกรรมผู้บริโภค หมายถึง การศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการคิด การตัดสินใจ และพฤติกรรมของบุคคลเมื่อต้องการซื้อสินค้าหรือบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการและความพึงพอใจของตนเอง
Customer Behavior หรือ พฤติกรรมผู้บริโภค มีกี่ประเภท ?
โดยทั่วไปจะสามารถแบ่งพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคออกได้เป็นหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีลักษณะเฉพาะและปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อที่แตกต่างกันไป ดังนี้
1. พฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการซื้อแบบซับซ้อน (Complex buying behavior)
พฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการซื้อแบบซับซ้อนมักเกิดขึ้นเมื่อต้องการซื้อสินค้าที่มีมูลค่าสูง เช่น บ้าน รถยนต์ หรือคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นสินค้าที่ซื้อไม่บ่อยนัก ทำให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้จะใช้เวลาในการตัดสินใจนานกว่าปกติ เนื่องจากต้องรวบรวมข้อมูลและเปรียบเทียบสินค้าจากหลายๆ แบรนด์อย่างละเอียด ตัวอย่างเช่น ก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ ผู้บริโภคจะใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลรุ่นต่างๆ เปรียบเทียบราคา และขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้มั่นใจว่าได้เลือกซื้อรถยนต์ที่ตรงกับความต้องการและคุ้มค่าที่สุด
2. พฤติกรรมผู้บริโภคแบบลดความซับซ้อน (Dissonance-reducing buying behavior)
พฤติกรรมผู้บริโภคแบบลดความซับซ้อนมักเกิดขึ้นเมื่อต้องการซื้อสินค้าที่มีราคาสูง แต่มีตัวเลือกค่อนข้างจำกัด และผู้บริโภคมีความรู้เกี่ยวกับสินค้านั้นไม่มากนัก หลังจากตัดสินใจซื้อไปแล้ว ผู้บริโภคมักรู้สึกไม่แน่ใจในตัวเลือกของตนเอง จึงพยายามหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อลดความกังวลใจ ตัวอย่างเช่น การเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ เช่น ตู้เย็นหรือเครื่องซักผ้า ผู้บริโภคอาจรู้สึกกังวลว่าจะเลือกยี่ห้อไหนดี จึงต้องขอคำแนะนำจากเพื่อนหรือศึกษาข้อมูลจากรีวิวต่างๆ เพื่อให้มั่นใจในตัวเลือกของตนมากขึ้น
3. พฤติกรรมผู้บริโภคแบบเป็นปกตินิสัย (Habitual buying behavior)
พฤติกรรมผู้บริโภคแบบเป็นปกตินิสัยมักเกิดขึ้นกับการซื้อสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันและคุ้นเคย โดยผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อแบบอัตโนมัติ ไม่ต้องพิจารณาตัวเลือกอื่นๆ มากนัก และมักจะเลือกซื้อแบรนด์เดิมที่เคยใช้ซ้ำๆ ตัวอย่างเช่น การซื้อแปรงสีฟัน ยาสีฟัน หรือน้ำดื่ม ผู้บริโภคจะเลือกซื้อแบรนด์ที่คุ้นเคยโดยไม่ต้องคิดมาก เนื่องจากเป็นการสร้างความสะดวกสบายและลดความยุ่งยากในการตัดสินใจ
4. พฤติกรรมผู้บริโภคแบบแสวงหาความหลากหลาย (Variety-seeking buying behavior)
พฤติกรรมผู้บริโภคแบบแสวงหาความหลากหลายมักเกิดขึ้นเมื่อผู้บริโภคต้องการลองสินค้าใหม่ๆ หรือเปลี่ยนแบรนด์แม้จะเคยใช้แบรนด์เดิมอยู่แล้วก็ตาม ผู้บริโภคประเภทนี้ชอบความแปลกใหม่และเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น การเลือกซื้อขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่ม หรือเสื้อผ้า ผู้บริโภคมักจะลองรสชาติใหม่ๆ หรือแบรนด์ใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อเพิ่มความตื่นเต้นและความสนุกในการเลือกซื้อสินค้า
ทำไมต้องมีการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค หรือ Customer Behavior ?
การศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน เพราะช่วยให้คุณเข้าใจว่าผู้บริโภคคิดอย่างไร ตัดสินใจอย่างไร และทำอะไรบ้างเมื่อต้องการซื้อสินค้าหรือบริการ โดยจะนำไปสู่การวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเหตุผลที่คุณต้องศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค มีดังนี้
1. เข้าใจความต้องการของลูกค้า
การทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้านั้นเปรียบเสมือนกุญแจสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เมื่อคุณเข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไร คุณจะสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ตรงใจ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริง ซึ่งจะนำไปสู่ความพึงพอใจของลูกค้า และส่งผลให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำอีกครั้ง
2. สร้างสรรค์กลยุทธ์ทางการตลาดที่ตรงเป้าหมาย
การทำความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างสรรค์กลยุทธ์ทางการตลาดที่ตรงเป้าหมาย เมื่อคุณเข้าใจว่าลูกค้าของคุณเป็นใคร มีความต้องการอะไร และมีพฤติกรรมการตัดสินใจอย่างไร คุณจึงสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจน และออกแบบแคมเปญโฆษณาที่สื่อสารตรงไปยังกลุ่มเป้าหมายนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ทรัพยากรทางการตลาดของคุณเกิดประโยชน์สูงสุด และบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้ตามที่ตั้งไว้
3. ปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการ
การศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการศึกษานี้จะช่วยให้คุณเข้าใจจุดแข็ง จุดอ่อน และความคาดหวังของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ทำให้คุณสามารถปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น
4. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า
การทำความเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง จะช่วยให้คุณสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด และยังสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีในการใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการให้กับลูกค้าได้อีกด้วย แน่นอนว่า ทั้งหมดนี้จะนำไปสู่ความผูกพันระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลให้ลูกค้ามีความภักดีต่อแบรนด์และกลับมาใช้บริการซ้ำนั่นเอง
5. เพิ่มยอดขายและผลกำไร
การทำการตลาดที่ตรงเป้าหมายและตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนยอดขายและผลกำไรของธุรกิจ เพราะเมื่อคุณเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง ก็จะสามารถสร้างสรรค์กลยุทธ์ทางการตลาดที่ตรงใจลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของคุณ และนำไปสู่การเพิ่มยอดขายและผลกำไรในที่สุด
บทสรุป
ทั้งนี้ ธุรกิจที่ต้องการประสบความสำเร็จในยุคปัจจุบันจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค และการทำงานร่วมกับที่ปรึกษาวางแผนกลยุทธ์ เพราะจะช่วยให้ธุรกิจเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และนำไปสู่การตัดสินใจทางธุรกิจที่ถูกต้องนั่นเอง
Powered by Froala Editor
Powered by Froala Editor

Infographic vs Motion Graphic ต่างกันยังไง? เลือกแบบไหนคุ้มค่ากว่ากัน
Infographic คืออะไร Motion Graphic คืออะไร เลือกการนำเสนอรูปแบบไหนให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด พร้อมบอกข้อดี-ข้อเสียของทั้ง 2 รูปแบบนี้ว่าต่างกันตรงไหน มาดูกันเลย !
Domain Name คืออะไร เลือกแบบไหนถึงจะดีและเหมาะสมกับธุรกิจคุณ
Domain Name (โดเมนเนม) คืออะไร มีส่วนประกอบอะไรบ้าง พร้อมวิธีการตั้งชื่อ Domain Name ให้น่าจดจำและสร้างความน่าเชื่อถือ สำหรับคนทำเว็บไซต์มือใหม่