Segmentation คืออะไร ? พิชิตใจลูกค้าอย่างไรสู่ความสำเร็จทางธุรกิจ
ปัญหาใหญ่ของการทำการตลาด ส่วนมากมักหนีไม่พ้นเรื่องของการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ชัดเจน หรือเลือกกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่กว้างจนเกินไปเหมือนหว่านแห ซึ่งหากเปรียบเทียบกลุ่มเป้าหมาย = เป้าธนู , ธุรกิจของคุณ = คันธนู แน่นอนว่า ไม่ว่าคุณจะเลือกคันธนูอย่างดี ราคาครึ่งแสน รุ่นหายากแค่ไหน ยังไงก็ไม่มีทางยิงเข้าตรงกลางของเป้าธนูได้เลย ! ฉะนั้น จะดีกว่าไหม หากคุณสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจได้อย่างชัดเจน เพื่อให้คุณยิงธนูได้ตรงเป้าตลอด ด้วยกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้การกำหนดกลุ่มเป้าหมายมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม นั่นก็คือ กลยุทธ์ STP หรือ Segmentation, Targeting และ Positioning นั่นเอง
ทำความรู้จักกับกลยุทธ์ STP (Segmentation, Targeting และ Positioning) คืออะไร ?
ภาพรวมของ STP หรือ Segmentation, Targeting, Positioning คือ กลยุทธ์พื้นฐานที่นักการตลาดทุกคนต้องรู้จักและนำไปใช้ในการวางแผนการตลาดของธุรกิจ เพราะศาสตร์นี้จะช่วยให้เราเข้าใจลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง และสามารถสื่อสารกับพวกเขาได้อย่างตรงจุด
1. Segmentation หมายถึง ?
Segmentation หรือ Market Segmentation คือ การแบ่งกลุ่มลูกค้าออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ตามลักษณะต่างๆ ที่คล้ายคลึงกัน เพื่อให้เราสามารถเข้าใจพฤติกรรม ความต้องการ และความสนใจของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น
*** เปรียบเทียบง่ายๆ ให้เห็นภาพ : Segmentation = ลูกบอลที่มีหลากหลายสี ***
ทำไมต้องทำ Segmentation หรือแบ่งกลุ่มตลาด ?
เพื่อให้เข้าใจลูกค้าได้ดีขึ้น : เมื่อเราแบ่งกลุ่มลูกค้าออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ก็จะทำให้เราเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างชัดเจน
เพิ่มประสิทธิภาพการตลาด : ช่วยให้เราใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดได้อย่างคุ้มค่า โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงใจ : เมื่อเข้าใจความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม เราก็สามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด
เพิ่มยอดขาย : การทำการตลาดที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย จะช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น
การแบ่ง Segmentation มีอะไรบ้าง ?
Demographic Segmentation : การแบ่งกลุ่มตามข้อมูลประชากร เช่น เพศ อายุ สถานภาพ อาชีพ รายได้ ศาสนา
Behavioral Segmentation : การแบ่งกลุ่มตามหลักภูมิศาสตร์ เช่น ชนบท/เมือง การปกครอง สภาพภูมิอากาศ
Consumer Segmentation : การแบ่งกลุ่มตามพฤติกรรม เช่น ความสนใจในการซื้อ การมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์
Psychographic Segmentation : การแบ่งกลุ่มตามหลักจิตวิทยา เช่น ลักษณะบุคลิกภาพ ความสนใจ ไลฟ์สไตล์ ชั้นของสังคม
2. Targeting หมายถึง ?
Targeting คือ การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ต่อยอดมาจาก Segmentation (การแบ่งกลุ่มตลาด) โดยเป็นการเลือกกลุ่มลูกค้าที่เราต้องการจะเข้าถึงมากที่สุดจากกลุ่มที่เราแบ่งไว้ในขั้นตอนแรก
*** เปรียบเทียบง่ายๆ ให้เห็นภาพ : Segmentation = ลูกบอลที่มีหลากหลายสี ฉะนั้น Targeting = การเลือกหยิบลูกบอลสีที่เราต้องการ ***
ทำไมต้องทำ Targeting หรือกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ?
ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า: การเล็งไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงจะช่วยให้เราใช้เงินและเวลาในการทำการตลาดได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น
ผลตอบแทนที่สูงขึ้น : เมื่อเราเข้าถึงกลุ่มคนที่สนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการของเราโดยตรง โอกาสที่พวกเขาจะตัดสินใจซื้อก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
สร้างความสัมพันธ์ : การสื่อสารที่ตรงใจจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและสร้างความภักดีต่อแบรนด์
ลดการสื่อสารที่ไม่จำเป็น : การเลิกทำการตลาดกับกลุ่มคนที่ไม่ใช่ลูกค้าเป้าหมาย จะช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงได้
3. Positioning หมายถึง ?
Positioning คือ การวางตำแหน่ง ในแง่การตลาด หมายถึง การสร้างภาพลักษณ์ที่ชัดเจนและแตกต่างของแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ เพื่อให้แบรนด์หรือผลิตภัณฑ์นั้นโดดเด่นและเป็นที่จดจำในตลาดที่มีคู่แข่งมากมาย
*** เปรียบเทียบง่ายๆ ให้เห็นภาพ : Positioning = การสร้างบ้านให้มีความ ‘Unique’ โดยอาจเลือกใช้วัสดุที่มีเอกลักษณ์ เช่น ไม้เก่า, อิฐเปลือย, หรือกระเบื้องลายเฉพาะตัว เพื่อให้คนอื่นจำได้ว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของใคร ***
ทำไมต้องทำ Positioning หรือการวางตำแหน่ง ?
สร้างความแตกต่างและน่าจดจำ : ช่วยให้แบรนด์ของคุณโดดเด่นจากคู่แข่ง ทำให้ลูกค้าจำได้ว่าแบรนด์ของคุณแตกต่างจากแบรนด์อื่นอย่างไร
สร้างความเชื่อมโยง : สร้างความเชื่อมโยงระหว่างแบรนด์กับความต้องการหรือปัญหาของลูกค้า ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ของคุณเข้าใจและตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขาได้
สร้างความภักดีต่อแบรนด์ : การสร้างความภักดีต่อแบรนด์เป็นเป้าหมายสูงสุดของทุกธุรกิจ เพราะลูกค้าที่ภักดีจะไม่เพียงแต่ซื้อซ้ำ แต่ยังเป็นเหมือนทูตแบรนด์ที่คอยบอกต่อให้คนอื่นรู้จักอีกด้วย
ตัวอย่างการทำ Positioning หรือการวางตำแหน่ง
การวางตำแหน่งตามคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ (Functional Positioning) เช่น Nike : เน้นเรื่องของสมรรถนะ กีฬา และแรงบันดาลใจในการก้าวข้ามขีดจำกัด, Tide : เน้นประสิทธิภาพในการขจัดคราบสกปรก
การวางตำแหน่งตามคุณค่า (Emotional Positioning) เช่น Apple : เน้นความทันสมัย นวัตกรรม และไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง, Dove : เน้นความมั่นใจในตัวเอง ความรักในร่างกาย และความงามตามธรรมชาติ
การวางตำแหน่งตามกลุ่มเป้าหมาย (Target Market Positioning) เช่น Hello Kitty : เน้นกลุ่มเด็กผู้หญิงวัยรุ่นที่น่ารัก ชอบความหวาน และแฟชั่น, Harley-Davidson : เน้นกลุ่มผู้ชายที่ชอบความท้าทาย เสรีภาพ และไลฟ์สไตล์แบบร็อค
บทสรุป
และทั้งหมดนี้ ก็คือ STP (Segmentation, Targeting และ Positioning) หรือกลยุทธ์ที่ทำให้การกำหนดกลุ่มเป้าหมายมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ทั้งนี้ การทำการตลาดไม่ได้ใช้เพียงแค่กลยุทธ์ STP เท่านั้น แต่ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ อีกมากมายที่ต้องนำมาพิจารณาเพื่อให้การตลาดประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน เราจึงขอแนะนำให้คุณเลือกใช้บริการด้านการรับวางกลยุทธ์ทางการตลาด กับผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์แบบครบวงจร ตอบโจทย์ทุกธุรกิจอย่าง Digital Factory เลย
Powered by Froala Editor
Powered by Froala Editor
Powered by Froala Editor
Content Creator คืออะไร มีหน้าที่อะไรในสายงานการตลาดออนไลน์
คอนเทนครีเอเตอร์ (Content Creator) คืออะไร ทำหน้าที่อะไรบ้างในสายงานการตลาดออนไลน์ และใครที่สนใจอยากทำสายงานนี้ควรเตรียมตัวอย่างไร บทความนี้มีคำตอบ !
Marketing Funnel คืออะไร ? พร้อมบอกขั้นตอนสู่ความสำเร็จทางธุรกิจ
Digital Factory จะขอพาไปเจาะลึกเรื่อง Marketing Funnel คืออะไร มีความสำคัญต่อการทำการตลาดอย่างไร รวมถึงการสร้าง Marketing Funnel ให้มีประสิทธิภาพ