ระบบฐานข้อมูล (Database) คืออะไร ? มีกี่ประเภท เหมาะกับธุรกิจแบบไหน
ฐานข้อมูล (Database) เปรียบเสมือนคลังเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ที่ถูกจัดระเบียบอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถเข้าถึง แก้ไข และวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ลองนึกภาพห้องสมุดขนาดใหญ่ที่แบ่งหนังสือออกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ เช่นวรรณกรรม วิทยาศาสตร์ หรือประวัติศาสตร์ ฐานข้อมูลก็ทำงานในลักษณะเดียวกัน แต่แทนที่จะเก็บหนังสือ ก็จะเก็บข้อมูลต่างๆ แทน เช่น ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลสินค้า ข้อมูลการขาย หรือข้อมูลใดๆ ที่คุณต้องการเก็บรักษาไว้ เป็นต้น
Database มีกี่ประเภท
ฐานข้อมูล (Database) นั้นมีหลากหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับรูปแบบและขนาดของข้อมูลที่แตกต่างกัน รวมถึงวิธีการเข้าถึงและจัดการข้อมูลที่แตกต่างกันด้วย การเลือกใช้ฐานข้อมูลที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับความต้องการในการใช้งานของแต่ละองค์กรหรือโครงการนั่นเอง ฉะนั้น มาดูกันดีกว่าว่า Database มีอะไรบ้าง ?
1. Network Database
ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย หรือ Network Database เป็นรูปแบบของฐานข้อมูลที่พัฒนาต่อยอดมาจากฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น (Hierarchical Database) โดยมีโครงสร้างที่ซับซ้อนและยืดหยุ่นกว่า ทำให้สามารถแสดงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลได้หลากหลายรูปแบบมากขึ้น
ตัวอย่าง : ฐานข้อมูลสำหรับบริษัทประกัน ซึ่งสามารถแสดงความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้า, พนักงานขาย, ประเภทกรมธรรม์ และการเคลมได้อย่างละเอียด
2. Hierarchical Database
ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น เป็นรูปแบบหนึ่งของฐานข้อมูลที่ถูกออกแบบมาให้มีโครงสร้างคล้ายต้นไม้ (tree structure) โดยข้อมูลแต่ละชิ้นจะถูกจัดเรียงเป็นลำดับชั้นที่ชัดเจน มีความสัมพันธ์แบบพ่อ-ลูก (parent-child relationship) ซึ่งหมายความว่าข้อมูลแต่ละชิ้นจะมีเพียงพ่อ (parent) เพียงหนึ่งเดียว แต่สามารถมีลูก (child) ได้หลายรายการ
ตัวอย่าง : โครงสร้างองค์กร บริษัทสามารถใช้ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้นเพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานแต่ละคนในองค์กร
3. Relational Database
ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ เป็นรูปแบบของฐานข้อมูลที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในปัจจุบัน โดยจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบของตาราง (Table) ที่มีความสัมพันธ์กัน เช่นเดียวกับตารางใน Excel แต่มีความสามารถในการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อนกว่ามาก
ตัวอย่าง : ธนาคาร ใช้ในการจัดการข้อมูลลูกค้า ข้อมูลบัญชี ข้อมูลธุรกรรม หรือรัฐบาล ใช้ในการจัดเก็บข้อมูลประชากร ข้อมูลภาษี ข้อมูลการจราจร
4. Object Oriented Database
ฐานข้อมูลเชิงวัตถุ หรือ Object-Oriented Database เป็นรูปแบบของฐานข้อมูลที่นำแนวคิดของการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (Object-Oriented Programming: OOP) มาประยุกต์ใช้ในการจัดเก็บและจัดการข้อมูล โดยมองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นวัตถุ (Object) ที่มีความสัมพันธ์กัน
ตัวอย่าง : การจัดเก็บข้อมูลมัลติมีเดีย สามารถจัดเก็บภาพ, เสียง, วิดีโอ และข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้ในรูปแบบของวัตถุ
5. NoSQL Databases
ฐานข้อมูล NoSQL หรือ Not Only SQL เป็นระบบจัดการฐานข้อมูลที่ไม่ใช้โครงสร้างแบบตารางเหมือนฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) ซึ่งฐานข้อมูลแบบนี้จะมีจุดเด่น คือ มีความยืดหยุ่นสูง สามารถจัดเก็บข้อมูลที่หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่มีโครงสร้าง ข้อมูลกึ่งโครงสร้าง หรือข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้างเลยก็ตาม ทำให้เหมาะกับการใช้งานในยุคปัจจุบันที่ข้อมูลมีปริมาณมากและมีความหลากหลายสูง
ตัวอย่าง : โซเชียลมีเดีย ที่ต้องจัดเก็บข้อมูลผู้ใช้, โพสต์, ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้ หรือแอปพลิเคชันมือถือ ที่ต้องจัดเก็บข้อมูลผู้ใช้, ข้อมูลการใช้งาน เป็นต้น
6. Cloud Database
ฐานข้อมูลบนคลาวด์ หรือ Cloud Database คือ ระบบฐานข้อมูลที่ทำงานบนโครงสร้างพื้นฐานของคลาวด์คอมพิวติ้ง ซึ่งหมายความว่าแทนที่จะติดตั้งและดูแลฐานข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์ขององค์กรเอง คุณจะใช้บริการฐานข้อมูลจากผู้ให้บริการคลาวด์ เช่น Amazon Web Services (AWS), Microsoft Azure หรือ Google Cloud Platform
องค์ประกอบของระบบฐานข้อมูลมีอะไรบ้าง ?
ระบบฐานข้อมูลประกอบด้วยองค์ประกอบหลักๆ ที่ทำงานร่วมกันเพื่อจัดเก็บ จัดการ และเรียกใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
ฮาร์ดแวร์เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบฐานข้อมูล ซึ่งจะประกอบไปด้วย หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ทำหน้าที่ประมวลผลคำสั่งและคำนวณข้อมูลต่างๆ หน่วยความจำหลัก (RAM) ใช้เก็บข้อมูลที่กำลังถูกใช้งานอยู่ชั่วคราวเพื่อให้สามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล เช่น ฮาร์ดดิสก์ หรือ SSD ใช้เก็บข้อมูลที่เป็นฐานข้อมูลในระยะยาว และอุปกรณ์เครือข่ายที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระบบฐานข้อมูลกับอุปกรณ์อื่นๆ และผู้ใช้
2. ซอฟต์แวร์ (Software)
ซอฟต์แวร์ ประกอบไปด้วย ระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) ซึ่งทำหน้าที่ในการสร้าง จัดการ และควบคุมฐานข้อมูลต่างๆ เช่น MySQL, PostgreSQL หรือ Oracle Database และเพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีระบบปฏิบัติการคอยควบคุมฮาร์ดแวร์และให้บริการต่างๆ แก่โปรแกรมประยุกต์ และสุดท้าย คือ โปรแกรมประยุกต์ที่ผู้ใช้ใช้งานโดยตรง เพื่อเข้าถึงและจัดการข้อมูลในฐานข้อมูล เช่น โปรแกรมบัญชีหรือโปรแกรมขายสินค้า ซึ่งจะทำงานร่วมกับระบบจัดการฐานข้อมูลเพื่อให้ผู้ใช้สามารถทำงานกับข้อมูลได้อย่างสะดวก
3. ข้อมูล (Data)
ข้อมูลในระบบฐานข้อมูลแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่ ข้อมูลดิบ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ยังไม่ได้ผ่านการจัดระเบียบหรือวิเคราะห์ใดๆ ต่อมา คือ ข้อมูลที่ได้จากการประมวลผล เป็นข้อมูลที่ได้จากการนำข้อมูลดิบมาวิเคราะห์และประมวลผลแล้ว ทำให้ได้ข้อมูลที่มีความหมายและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ สุดท้าย คือ เมต้าข้อมูล เป็นข้อมูลที่อธิบายข้อมูลอื่นๆ เช่น ชนิดของข้อมูล รูปแบบของข้อมูล หรือที่มาของข้อมูล เปรียบเสมือนป้ายกำกับที่บอกรายละเอียดของข้อมูล ทำให้การค้นหาและใช้งานข้อมูลทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
4. บุคลากร (Personnel)
บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับระบบฐานข้อมูลมีหลากหลายบทบาท ได้แก่ ผู้ดูแลระบบฐานข้อมูล ซึ่งมีหน้าที่ในการออกแบบโครงสร้างของฐานข้อมูล สร้างฐานข้อมูล และดูแลรักษาให้ฐานข้อมูลทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อมา คือ ผู้พัฒนาโปรแกรมประยุกต์ จะเป็นผู้สร้างโปรแกรมต่างๆ ที่เชื่อมต่อกับฐานข้อมูล เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงและจัดการข้อมูลต่างๆ ได้ตามต้องการ และสุดท้าย คือ ผู้ใช้ ซึ่งเป็นบุคคลทั่วไปที่ใช้งานระบบฐานข้อมูลเพื่อค้นหาข้อมูล หรือปฏิบัติงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลในชีวิตประจำวัน
ประโยชน์ของฐานข้อมูลมีอะไรบ้าง ?
ฐานข้อมูลช่วยจัดระเบียบข้อมูลอย่างเป็นระบบ ลดความซ้ำซ้อน เพิ่มความถูกต้อง และทำให้การค้นหาข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ นอกจากนี้ ฐานข้อมูลยังช่วยให้ผู้ใช้หลายคนสามารถเข้าถึงและใช้งานข้อมูลร่วมกันได้อย่างสะดวก โดยสามารถควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลได้อย่างละเอียด อีกทั้งยังสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อสร้างรายงานและค้นพบแนวโน้มต่างๆ เพื่อใช้ในการตัดสินใจ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดเวลา และลดความผิดพลาดจากการทำงานอีกด้วย
บทสรุป
จะเห็นได้ว่า ฐานข้อมูล (Database) เหมาะกับธุรกิจทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ เพราะทุกธุรกิจล้วนมีข้อมูลที่ต้องจัดการ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลลูกค้า ข้อมูลสินค้า ข้อมูลการขาย หรือข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของธุรกิจ
และข้อมูลเหล่านี้นี่เองที่จะเป็นตัวช่วยให้การยิงแอด หรือองค์กรที่มีบริการรับยิงแอด มีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพ ด้วยการนำข้อมูลลูกค้ามาวิเคราะห์ ทำให้สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเจาะจง และทำให้แคมเปญโฆษณาเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่สนใจได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น
Powered by Froala Editor
WordPress โปรแกรมสำเร็จรูปที่ใช้สร้างเว็บไซต์ง่ายๆ ได้ด้วยตัวคุณเอง
WordPress คืออะไร สามารถทําอะไรได้บ้างและมีประโยชน์อย่างไร ทำไมทั่วโลกจึงให้ความนิยมเป็นอย่างมากใ สำหรับใครที่พึ่งเริ่มต้นทำเว็บไซต์อยากรู้วิธีใช้ มาดูไปพร้อมกัน !
SEM (Search Engine Marketing) คืออะไร เริ่มต้นทำโฆษณาออนไลน์สำหรับมือใหม่
SEM คืออะไร ทำไมธุรกิจถึงต้องรู้ ? เผยการทำโฆษณา Google ให้ปังวัดผลได้จริง และบอกข้อดีในการทำ Search Engine Marketing ที่ช่วยให้คุณตัดสินใจลงทุนได้อย่างคุ้มค่า